กลยุทธ์การบำรุงรักษาเครื่องจักรกล
ปัจจุบันโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ หรือเครื่องจักรและอุปกรณ์มาใช้ในกระบวนการผลิต ดังนั้นเพื่อที่จะสามารถใช้งานเครื่องจักรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เครื่องจักรหยุดการทำงานเนื่องจากการชำรุดน้อยที่สุด โดยการวางแผนการบำรุงรักษาเครื่องจักรวัตถุประสงค์ของการบำรุงรักษา
Last Update : 03/09/2014 13:34:47
Coil Cutter
Brand : -
Model : -
-
Last Update : 17:01:01 08/04/2010
Coil Cutter
Brand : -
Model : -
-
Last Update : 17:00:20 08/04/2010
Coil Cutter
Brand : -
Model : -
-
Last Update : 17:00:01 08/04/2010
Coil Cutter
Brand : -
Model : -
-
Last Update : 16:59:35 08/04/2010
Paint Body Line Stock
Brand : -
Model : -
-
Last Update : 16:50:00 08/04/2010
test
Last Update : 09:47:28 03/09/2014

กลยุทธ์การบำรุงรักษาเครื่องจักรกล

Last Update : 13:34:47 03/09/2014
Page View (2185)

กลยุทธ์การบำรุงรักษาเครื่องจักรกล

เพื่อการบำรุงรักษาเครื่องจักรกลที่มีประสิทธิผล

ปัจจุบันโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่  ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ  หรือเครื่องจักรและอุปกรณ์มาใช้ในกระบวนการผลิต  ดังนั้นเพื่อที่จะสามารถใช้งานเครื่องจักรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด  จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เครื่องจักรหยุดการทำงานเนื่องจากการชำรุดน้อยที่สุด โดยการวางแผนการบำรุงรักษาเครื่องจักรวัตถุประสงค์ของการบำรุงรักษา คือ สามารถที่จะรักษาสมรรถนะความพร้อมในการใช้งานของเครื่องจักร   รักษาประสิทธิผลของเครื่องจักร เพื่อให้สามารถใช้งานได้ตามแผนที่วางไว้  มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด รวมถึงการบำรุงรักษาเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งานเครื่องจักร  

1.    ผลเสียเมื่อเครื่องจักรเสียหาย

  • ไม่สามารถส่งสินค้าได้ตรงตามเวลาที่กำหนด
  • คุณภาพของสินค้ามีความไม่แน่นอน
  • ต้นทุนสูงขึ้น ในกรณีที่มีการซ่อมเครื่องจักรอย่างเร่งด่วน (อาจจำเป็นที่ต้องจ่ายค่าแรงงานเพิ่มขึ้น)
  • ไม่สามารถที่จะให้บริการที่ดีได้

2.    ประเภทของการซ่อมบำรุงรักษา

            วิวัฒนาการของการซ่อมบำรุงรักษามีบ่อเกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในการผลิตและคอมพิวเตอร์  ซึ่งทำให้มีการเปลี่ยนแปลงไป  โดยมีความก้าวหน้าของวิธีการบำรุงรักษาแบบต่าง ๆ  ดังต่อไปนี้

  • การบำรุงรักษาแบบซ่อมเมื่อเสีย (Breakdown Maintenance)
  • การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Planned Maintenance or Preventive  Maintenance)
  • การบำรุงรักษาทวีผล (Productive Maintenance)
  • การบำรุงรักษาเชิงปรับปรุงแก้ไข (Corrective  Maintenance)
  • การป้องกันการบำรุงรักษา (Maintenance Prevention)
  • วิศวกรรมความน่าเชื่อถือ (Reliability Engineering)
  • ทีโรเทคโนโลยี (Terotechnology)
  • การบำรุงรักษาทวีผลที่ทุกคนมีส่วนร่วม (Total Productive Maintenance)
  • การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance)
  • การบำรุงรักษาเชิงรุก (Proactive  Maintenance)

โดยมีรายละเอียดของการบำรุงรักษาที่สำคัญต่าง ๆ    ดังนี้

                        1)    การบำรุงรักษาแบบซ่อมเมื่อเสีย (Breakdown Maintenance) 

เป็นแนวความคิดที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งไม่มีการวางแผนในการทำงานล่วงหน้า โดยพบว่าบุคลากรในฝ่ายซ่อมบำรุงรักษาไม่ปฏิบัติงานจนกว่าจะมีเครื่องในโรงงานชำรุดซึ่งไม่สามารถใช้งานต่อไปได้  อย่างไรก็ตามการซ่อมในลักษณะแบบนี้ก็ยังคงมีการใช้งานอยู่กับบางสถานการณ์ เช่น   ใช้ในเครื่องจักรที่มีการทำงานไม่ซับซ้อนและมีชิ้นส่วนอะไหล่พร้อมอยู่เสมอ หรือสามารถสั่งซื้ออะไหล่ได้ทันที  โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดในการซ่อมบำรุงรักษาแบบนี้ควรมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ  เช่น  หลอดไฟต่าง ๆ  จะถูกปล่อยไว้จนกว่าหลอดจะขาด  หรือผ้าเบรกรถยนต์ก็จะปล่อยไว้จนกว่าผ้าเบรกจะหมดหรือไม่สามรถใช้งานได้  เป็นต้น   ข้อเสียของการซ่อมบำรุงรักษาลักษณะนี้ได้แก่

  • ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าเมื่อเครื่องจักรเริ่มชำรุด
  • ไม่สามารถยอมรับได้ ในระบบที่จะต้องการความเชื่อมั่นสูง เช่น  ในอากาศยาน
  • ต้องเก็บชิ้นส่วนอะไหล่ไว้เป็นจำนวนมาก   ซึ่งเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายในสินค้าคงคลัง
  • ไม่สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายในการปฏิบัติงานได้ตามแผนที่วางไว้
  • ไม่สามารถที่จะวางแผนงานในแผนกการบำรุงรักษาได้ 

                        2)    การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน   (Preventive Maintenance) 

                                เป็นการบำรุงรักษาตามวาระหรือระยะเวลาการใช้งานที่กำหนด เพื่อรักษาสภาพทำงานของเครื่องจักรให้เหมาะสมก่อนที่จะมีการหยุดชะงัก โดยอาจใช้ประสบการณ์ของฝ่ายบำรุงรักษาหรือ คู่มือการใช้งานของเครื่องจักรนั้น ๆ  อย่างไรก็ตามการชำรุดของเครื่องจักรโดยไม่คาดคิดก็สามารถเกิดขึ้นได้  ทั้งนี้รูปแบบการชำรุดของเครื่องลักษณะนี้มีการกระจายอยู่ในลักษณะไม่สม่ำเสมอ  ดังนั้นจึงยากที่จะเลือกช่วงการบำรุงรักษาตามแผนที่เหมาะสม  หรือแม้แต่ในบางกรณีถึงแม้ว่าได้ปฏิบัติงานตามแผนแล้วก็ตาม   ก็อาจมีโอกาสที่จะเกิดการชำรุดของเครื่องจักรโดยไม่คาดคิดได้

3)    การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance)

                        เป็นวิธีการที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเป็นการเลือกใช้เทคนิคใหม่ ๆ  ของเครื่องมือต่าง ๆ  เช่น  อุปกรณ์ในการวัดความสั่นสะเทือน  กล้องอินฟาเรด  เทอร์โมกราฟฟี่  เป็นต้น  โดยสามารถจัดแบ่งการบำรุงรักษาแบบนี้ออกเป็นวิธีย่อย ๆ  คือ   การวิเคราะห์สัญญาณความสั่นสะเทือน ( Vibration  Analysis)  การวิเคราะห์สารหล่อลื่นใช้แล้ว ( Oil/ Wear Practical Analysis)  การวิเคราะห์ภาพถ่ายความร้อน ( Thermography Monitoring)   เป็นต้น ซึ่งเราเรียกวิธีการเหล่านี้ว่า เป็นการติดตามสุขภาพของเครื่องจักร  ทำให้ฝ่ายบำรุงรักษาสามารถที่จะทราบถึงต้นเหตุของการชำรุด และสามารถที่จะวางแผนในการซ่อมบำรุงรักษา เตรียมแรงงาน  จัดซื้อชิ้นส่วนอะไหล่ล่วงหน้า  และสามารถที่จะกำหนดช่วงเวลาในการทำงานซึ่งไม่ขัดกับแผนกการผลิตหลักได้  โดยประโยชน์ที่จะได้รับจากการบำรุงรักษาลักษณะนี้คือ

  • ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
  • ลดสถิติการชำรุดของเครื่องจักร
  • ลดเวลาในการซ่อมเครื่องจักร
  • ลดปริมาณอะไหล่คงคลังในการบำรุงรักษา
  • เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
  • วางแผนการบำรุงรักษาได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น
  • ทำให้การหยุดชะงักของเครื่องจักรน้อยลง

4)    การบำรุงรักษาเชิงรุก (Proactive  Maintenance)

                        เป็นการบำรุงรักษาก่อนที่เครื่องจักรจะเริ่มชำรุด  โดยงานบำรุงรักษาแบบนี้มุ่งพิจารณาที่ “รากของปัญหา”   โดยสามารถจำแนกออกได้ 8 ประการดังนี้ คือ

  • ความไม่เสถียรทางเคมี
  • ความไม่เสถียรทางกายภาพ
  • ความไม่เสถียรทางอุณหภูมิ
  • ความไม่เสถียรทางการสึกหรอ
  • ความไม่เสถียรทางการรั่วไหล
  • การเกิดโพรงอากาศในระบบไอโดลิก
  • ความไม่เสถียรในระดับของสิ่งของสกปรก
  • ความไม่เสถียรจากการบิดตัวเยื้องศูนย์

เมื่อสามารถวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาได้  ก็จะทำให้แก้ไขได้อย่างถูกต้อง

3.    วงจรชีวิตของเครื่องจักร (Machinery life cycle)

วงจรชีวิตของเครื่องจักร นับได้ว่าเป็นวิธีการที่จะนำมาอธิบายช่วงระยะเวลาต่าง ๆ    ของสถานะภาพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของเครื่องจักรที่มีการเสื่อมสภาพ  การชำรุด  และการสิ้นอายุของเครื่องจักร  โดยทั่วไปแล้วมีการอธิบายลักษณะดังกล่าวในรูปกราฟ “เส้นโค้งรูปอ่างน้ำ”  ซึ่งเป็นกราฟที่ใช้อธิบายลักษณะที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปของเครื่องจักรกล  และสามารถจัดแบ่งช่วงชีวิตของออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ คือ  ช่วงระยะเริ่มต้น( Run-In) ช่วงใช้งานปกติ (Useful life) และช่วงสึกหรอ ( wear out)


อ้างอิงจาก http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=1548&read=true&count=true




 
© 2000-2008 CopyRight by Thai Central Mechanics Co.,Ltd.
Tel. (66)2 398-8698, 2398-8131,27485977,2748-5313-5  Fax. (66)2 399-0365  Website. http://www.tcm1989.com
disclaimer | privacy | contact us 

  Sale Login Warehouse Login Driver Login