วิธีสังเกตยาหมดอายุ และยาเสื่อมคุณภาพ
การใช้ยาที่หมดอายุ และยาที่เสื่อมคุณภาพ จะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง หรือไม่ให้ผลการรักษา นอกจากนั้นยาบางตัวยังอาจก่อให้เกิดพิษได้ จึงควรตรวจสอบวันหมดอายุและการเสื่อมสภาพของยาทั้งขณะที่ซื้อยาหรือได้รับยาครั้งแรก และเมื่อเก็บยาไว้นานๆ รวมทั้งควรเก็บยาไว้อย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้ยาเสื่อมคุณภาพก่อนเวลา
ยาหมดอายุ
การดูวันหมดอายุของยาที่ระบุบนกล่อง ฉลากหรือแผงยาก่อนใช้มีความสำคัญอย่างมาก และเมื่อพบว่ายาหมดอายุแล้วแม้ว่าลักษณะภายนอกของยาจะยังไม่เปลี่ยนแปลงก็ไม่ควรนำมาใช้อีกต่อไป
วันหมดอายุหรือการเสื่อมสภาพของยา มีวิธีพิจารณาได้หลายวิธี
- สังเกตวันหมดอายุที่บรรจุภัณฑ์ เช่น แผงยา กล่องยาหรือขวดยาปัจจุบันที่จะมีการปั๊มวันหมดอายุไว้ที่บรรจุภัณฑ์ โดยวันหมดอายุจะเขียนว่า “ Expiry Date” หรือ“ Exp. Date” หรือ “Used before”หรือ Expiring หรือ Use by ตามด้วย วัน-เดีอน-ปี ที่จะหมดอายุ เช่น Exp. Date 30/06/20 หมายความว่ายาจะหมดอายุในวันที่ 30 เดือนมิถุนา ปี 2020
- สำหรับยาบางชนิดที่บรรจุภัณฑ์ไม่ได้ระบุวันที่หมดอายุไว้ เราจะคำนวณวันหมดอายุจากวันผลิต (ผู้ผลิตจะระบุวันที่ผลิตไว้เสมอ)ซึ่งจะเขียนว่า “ M.F.D” หรือ “ Mfg.Date” หรือ “ Manufacturing Date”ตามด้วย วัน-เดือน-ปี ที่ผลิต เช่น Mfg. Date 01/07/16 หมายความว่า ยาผลิตขึ้นวันที่ 1 เดือนกรกฎาคม ปี 2016 การคำนวณวันหมดอายุจะพิจารณาจากรูปแบบยาซึ่งยาแต่ละรูปแบบจะมีอายุที่แตกต่างกันไป เช่น ยาเม็ดมีอายุประมาณ 5 ปี จากวันผลิต สำหรับยาแคปซูล ยาน้ำ และยาครีมจะมีอายุประมาณ 3 ปีจากวันผลิต
- กรณียาที่มีการเปิดใช้หรือมีการเปลี่ยนสภาพหรือแบ่งใส่บรรจุภัณฑ์อื่นจะมีการกำหนดวันหมดอายุให้สั้นลง เช่น ยาตา เมื่อเปิดใช้แล้วจะมีอายุไม่เกิน 30 วันนับจากวันที่เปิดใช้ ยาผงปฏิชีวนะชนิดผงแห้ง เมื่อละลายน้ำแล้วจะหมดอายุภายใน 7-14 วัน ยาเม็ดที่นับเม็ดและแบ่งออกมาใส่ซอง มีอายุ 1 ปี นับจากวันที่แบ่งบรรจุ แม้ที่บรรจุภัณฑ์จะยังไม่ถึงวันหมดอายุก็ตาม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพการเก็บรักษาทำให้มีความชื้น ความร้อน หรือเชื้อจุลชีพที่ทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้เร็วขึ้น
การที่ยาหมดอายุแต่ยังมีลักษณะภายนอกไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเสมอไป เพราะในบางกรณีอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เพื่อความปลอดภัยควรทิ้ง ไม่ควรนำมาใช้อีก
|