การกำเนิดน้ำมันหอมระเหยกับศาสตร์แห่งการบำบัด
แม้ว่ายังไม่มีการยืนยันอย่างแน่ชัดถึงประเทศหรือกลุ่มบุคคลที่เป็นผู้ริเริ่มการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้อย่างชัดเจน
แต่พบว่าช่วงประมาณ 500-1500 ปี ก่อนคริสตศักราชพบชาวอียิปต์เป็นชนชาติที่ได้นำเครื่องหอมจำพวกแฟรงคินเซนส์
(frankincense) และ เมอร์ (myrrh) มาใช้ประโยชน์ในการทำพิธีบูชาเทพเจ้า
นอกจากนี้ยังพบการนำพืชที่ให้กลิ่นหอมอธิเช่น อบเชย (cinnamon) ซีดาร์วูด (cedarwood) จูนิเพอร์ (juniper) และพืชอีกหลายชนิดมาใช้ในการเก็บรักษาร่างมัมมี่ สำหรับการถ่ายทอดความรู้ศาสตร์ของการใช้น้ำมันหอมระเหยและเครื่องหอมนั้นเชื่อว่าชาวกรีกได้รับวิชาและศาสตร์ดังกล่าวมา
หลังจากที่ทำสงครามกับอียิปต์
ในช่วงประมาณ 460 ปี
ก่อนคริสตศักราช ฮิปโปเครติส (Hippocrates) ได้รับการยกย่องว่าเป็น
?ผู้ให้กำเนิดวิชาแพทย์? หรือ ?บิดาแห่งการแพทย์? (The Father of Medicine)
ซึ่งเป็นชาวกรีกที่มีการนำน้ำมันหอมระเหยจากส่วนต่างๆของพืชมาใช้ในการรักษาคนไข้ นอกจากนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว
เม็กกอลัส (Megallus) ก็เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ได้คิดสูตรที่เป็นที่นิยมมากในการลดอาการอักเสบและช่วยสมานแผลซึ่งสูตรดังกล่าวถูกขนานนามว่า
?Megaleion? และได้ประยุกต์ใช้ทั้งในด้านการแพทย์และเครื่องสำอางเรื่อยมาจนถ่ายทอดมาสู่ชาวโรมันในเวลาต่อมา
นอกจากกรีกและโรมันที่มีการใช้น้ำมันหอมระเหยในการบำบัดและรักษากันมาอย่างช้านาน
จีนและอินเดียก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีประวัติการใช้งานมาพร้อมๆ
เช่นกันซึ่งพบว่าในสมัยกรีก-โรมันใช้สูตร megaleion ประเทศจีนก็มีการใช้น้ำมันกุหลาบ มะลิ ขิง และคาโมมาย (Chamomile)
เมื่อเข้าสู่ช่วง ค.ศ. 100 การศึกษาการใช้น้ำมันหอมระเหยและสมุนไพรได้มีมากขึ้น
และเป็นครั้งแรกในยุโรปที่มีหลักฐานการใช้น้ำมันหอมระเหย วิธีการสกัด
และการค้าขายน้ำมันอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยหมอชาวอาหรับที่ชื่อว่า อวิเซนน่า (Avicenna)
ได้คิดค้นพัฒนาวิธีการกลั่นน้ำมันหอมระเหยด้วยไอน้ำโดยได้กลั่นน้ำมันหอมระเหยจากดอกกุหลาบ
เป็นครั้งแรก
จากนั้น ความรู้ทางด้านน้ำมันหอมระเหยและวิธีการกลั่นน้ำมันหอมระเหย
จึงได้เผยแพร่กระจายไปทั่วยุโรปสืบมา จนกระทั้งเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มากขึ้น
ความสนใจในการแยกตัวยาบริสุทธิ์จากพืชและการสังเคราะห์ยาทางเคมีมากขึ้น
การใช้สุคนธบำบัดน้อยลงตามลำดับ จนกระทั้งนักเคมีชาวฝรั่งเศสชื่อ เรเน่ มอริช
กัตฟอส (Ren? Maurice Gattefoss?)
ได้ค้นพบประสิทธิภาพของน้ำมันหอมระเหยโดยบังเอิญจากเหตุเปลวไฟลวกมือและด้วยความตกใจจึงนำมือจุ่มลงในน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์
ซึ่งเขาพบว่าแผลที่เกิดจากไฟลวกมีอาการปวดลดลง และแผลสมานได้เร็วขึ้น
รวมถึงมีรอยแผลเป็นน้อยกว่าแผลไฟไหม้ที่หายเองตามปกติ
ซึ่งทำให้เกิดการวิจัยและค้นคว้าอย่างจริงจังมากขึ้นและทำให้เขาทราบว่าน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาตินั้นมีฤทธิ์ที่ดีกว่าสารเคมีสังเคราะห์หรือสารที่แยกจากพืชออกมาเดี่ยวๆ
ต่อมาเขาจึงได้แต่งตำราสุคนธบำบัดเล่มแรกและเป็นผู้บัญัติศัพท์คำว่า ?Aromatherapy?
เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1928
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบตามมาอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น
Dr. Penfold ใช้น้ำมันทีทรีในชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นในการรักษาทหารในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
Dr. Jean Valnet เขียนตำราจากประสบการณ์จริงจากการใช้น้ำมันหอมเพื่อการรักษา
และในช่วง ค.ศ. 1964 Madame Marguerite Maury ซึ่งเป็นผู้ริเรื่มการใช้น้ำมันหอมระเหยในเครื่องสำอางและศาสตร์สุคนธบำบัดร่วมกับการนวดเพื่อบำบัดคืนความอ่อนเยาว์
อ้างอิง
1.
Lawless J. The illustrated
encyclopedia of essential oils. 1st ed. Great Britain:
Butler&Tanner Ltd. Publishing; 1995.
2.
Lis-Balchin M. Aromatherapy science: A guide
for healthcare professionals. 1st ed. Great Britain: Gray
Publishing; 2006.
3.
Tisserand R., Young R., Essential
oil safety. 2nd ed. United Kingdom: Churchill
Livingstone; 2014.
|