Food Dehydration
คือ การทำให้แห้ง
หรือการดึงน้ำออกอาจเรียกว่า Food Drying การทำแห้งเป็นวิธีการถนอมอาหาร (Food
Preservation) ที่นิยมใช้มานาน โดยลดความชื้น (Moisture
Content) ของอาหารด้วยการระเหยน้ำ ด้วยการอบแห้ง (Dehydration)
การทอด (Frying)
หรือการระเหิดน้ำส่วนใหญ่ในอาหารออก 1. วัตถุประสงค์ของการทำแห้งอาหาร
1.1 ยืดอายุการเก็บรักษา
การทำแห้งเป็นการลดปริมาณน้ำในอาหาร เพื่อ
ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ทุกชนิด เช่น รา (mold) ยีสต์ (yeast) แบคทีเรีย
(bacteria) ที่เป็นสาเหตุให้อาหารเสื่อมเสีย
(microbial
spoilage) ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ (enzyme) หรือชะลอปฎิกิริยาต่างๆ
ทั้งทางเคมีและทางชีวเคมีซึ่งมีน้ำเป็นส่วนร่วมและเป็นสาเหตุให้อาหารเสื่อมเสีย (food spoilage)
1.2
ทำให้อาหารปลอดภัย
การลดปริมาณน้ำในอาหารโดยการทำแห้ง ทำให้อาหารมีค่าวอเตอร์แอคทิวิตี้ (water activity) น้อยกว่า 0.6 ซึ่งเป็นระดับที่ปลอดภัยจากจุลินทรีย์ก่อโรค
(pathogen) รวมทั้งยับยั้งการสร้างสารพิษของเชื้อรา (mycotoxin) เช่น Aflatoxin
1.3
เพื่อทำให้อาหารมีน้ำหนักเบา
ลดปริมาตร ทำให้สะดวกต่อการขนส่ง การบริโภค
หรือการนำไปเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปต่อเนื่องด้วยวิธีอื่นๆ
1.4
สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นทางเลือกของผู้บริโภคมากขึ้น
2.
อาหารแห้ง อาหารที่นำมาทำแห้งมีหลายหลาย
วัตถุดิบเริ่มต้นที่นำมาทำแห้งอาจมีสถานะเป็นของเหลว ของกึ่งแข็งหรือของแข็ง
ให้ได้ผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่มีสถานะเป็นของแข็ง ซึ่งอาจเป็นชิ้น เป็นแผ่น หรือเป็นผง
ที่มีลักษณะและคุณภาพแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับกระบวนทำแห้งที่เลือกใช้ ตัวอย่างอาหารแห้งที่พบทั่วไป
ได้แก่ ผักผลไม้ ถั่วเมล็ดแห้ง นมผง ชา กาแฟ โกโก้ น้ำตาล เนื้อสัตว์ สัตว์น้ำ อาหารทะเลเห็ด ก๋วยเตี๋ยว พาสต้า สมุนไพร เครื่องเทศ วัตถุเจือปนอาหาร
(food additive) เป็นต้น
เนื่องจากกระบวนการอบแห้งอาหารเกี่ยวข้องกับทั้งการถ่ายเทมวลและการถ่ายเทความร้อน
มวลที่ถ่ายเทระหว่างการทำแห้งอาหารส่วนใหญ่คือน้ำที่มีอยู่ในอาหาร
ระหว่างการอบแห้งห อาหารจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆขึ้นมากมาย
ทั้งที่ต้องการและที่ไม่ต้องการ การทำแห้งอาหารที่มีประสิทธิภาพสูง
ต้องคำนึงถึงคุณภาพของอาหารที่ได้หลังจากการทำแห้ง เช่น การนำมาคืนตัว (rehydration)
ด้วยการดูดน้ำกลับเข้าไปใหม่ คุณค่าทางโภชนาการ สี กลิ่นรส รสชาติ เนื้อสัมผัส รูปทรง
ทั้งยังต้องคำนึงถึงการประหยัดพลังงาน
มีการนำพลังงานกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกด้วย
ขอขอบคุณบทความจาก : http://www.foodnetworksolution.com
|