AROMATHERAPY ... ศาสตร์แห่งความหอมจากธรรมชาติที่ผสมผสานกลิ่นไอบริสุทธิ์ จาก ส่วนของดอก ผล กิ่ง ก้านและใบของพืชสมุนไพร ที่มีคุณสมบัติในการเชื่อมสานภาวะความสมดุลย์ระหว่างร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ จัดเป็นศาสตร์หนึ่งในการดูแลสุขภาพด้วยตนเองตามแนวธรรมชาติบำบัด (Holistic) ในการช่วยส่งเสริมสุขภาพทั้งทางสุขภาพกาย สุขภาพจิต ผ่อนคลายความตึงเครียด ช่วยปรับสมดุลย์ร่างกาย อย่างช้าๆ ตามธรรมชาติ
สุคนธ์ศาสตร์... ศาสตร์การนำกลิ่นหอมของพืฃสมุนไพรต่างๆ มาสร้างบรรยากาศความสดชื่น มีวัตถุประสงค์ที่ ต่างไป คือนำความหอมและสารประกอบในน้ำมันหอมระเหย มาใช้เพื่อการบำบัดรักษาอาการต่างๆ ซึ่งต่อมา ชาวโรมันก็ได้นำหลักการความหอมนี้มาพัฒนาผสมผสานกับศาสตร์ของการอาบการนวด (massage) รูปแบบ การใช้และผลที่ได้ ของน้ำมันหอมนี้แพร่กระจายออกนอกอาณาจักร และได้รับความนิยมจนได้มีการบัญญัติ ศัพท์เรียกน้ำมันหอมระเหยนี้ว่า Aromatherapy ได้มีการศึกษาพัฒนาเพิ่มขึ้นจน Aromatherapy ได้รับความนิยมไปทั่วโลกจวบจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้ มนุษย์หันมาสนใจดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจมากยิ่งขึ้นและมีกระแสความนิยมในการกลับสู่ ธรรมชาติมากขึ้น ดังนั้น สุคนธบำบัด หรือ Aromatherapy จึงเป็นวิธีการรักษาอีกทางเลือกหนึ่งที่นำพืชหรือ สมุนไพรที่มีกลิ่นหอมมาใช้ประโยชน์ในการรักษาทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การใช้วิธีนี้มีการใช้กันมานาน แล้ว อานุภาพความหอมที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อการดำรงอยู่อย่างมีความสุข ภายใต้สุขภาพที่ดร่างกายแข็งแรง ช่วยลดสารพิษในกระแสเลือดและเซลล์ผิว เสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เพื่อให้สอดคล้องกับดุลยภาพทาง อารมณ์และจิตใจที่ได้รับการปรนนิบัติลดความตึงเครียดทางอารมณ์ ระงับอาการกระวนกระวาย และอ่อนล้า ทางใจ เพิ่มเติมพลังแห่งชีวิต ช่วยเสริมสร้างสมาธิในการทำงาน ช่วยให้ ร่างกายและสมองสดชื่น แจ่มใส
สุคนธบำบัด (Aromatherapy) คำว่า "AROMA (สุคนธา)" แปลว่า กลิ่นหอม และ "THERAPY " คือการบำบัดรักษาดังนั้น สุคนธบำบัด จึงหมายถึงการบำบัดรักษาเพื่อให้บรรเทาหรือทุเลาอาการต่าง ๆ ด้วยเครื่องหอม เครื่องหอมที่มีประสิทธิผลดี มาจากธรรมชาติ ถึงแม้จะมีความพยายามนำสารสังเคราะห์เลียนแแบบธรรมชาติมาใช้ แต่ก็ไม่สู้จะ ประสบความสำเร็จเครื่องหอมส่วนใหญ่จะเน้นไปถึงน้ำมันหอมระเหย (คือน้ำมันที่สกัดได้จากส่วนต่างๆ ของพืชและสมุนไพร เช่น ดอก ใบ ราก ผล เปลือกไม้ ยางไม้ หรือ เรซิน ฯลฯ)
ประวัติความเป็นมา ได้มีการใช้เครื่องหอมในการรักษาโรค ทำให้สงบหรือกระตุ้นมานานกว่า 6000 ปีแล้ว แต่คำว่า "Aroma therapy" เป็นที่รู้จักกันเมื่อ Gattefosse นักเคมีชาวฝรั่งเศสถูกไฟลวกที่มือ ในขณะที่กลั่นน้ำมันหอมระเหย ทำให้ค้นพบโดยบังเอิญว่าน้ำมันลาเวนเดอร์สามารถช่วยให้หายเร็ว และป้องกันแผลเป็นได้ เขาจึงศึกษาน้ำมันหอมระเหยอย่างจริงจัง และยังพบว่าน้ำมันหอมระเหยดีกว่า สารสังเคราะห์หรือสารเคมีแต่ละตัวที่แยกออกมาจากน้ำมันหอมระเหยเอง Dr.Jean Valnet ซึ่งเป็นทั้งหมอ และนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้น้ำมันหอมระเหยในการรักษาโรคบางชนิดและโรคประสาท ซึ่งได้พิมพ์หนังสือ เสนอผลงานออกมาชื่อ "The Practice of Aromatherapy" ซึ่งทำให้มีการตื่นตัวในการบำบัดโดย เครื่องหอม Madame MargueriteMaury ได้ประยุกต์งานวิจัยของ Dr.Jean Valnet ไปในทาง บำรุงความงาม เธอพบว่าถ้าเลือกน้ำหอมและผสมให้เหมาะสมก็จะได้ยามากมายเนื่องจาก Aromatherapy มีรากฐานอยู่กับความเชื่อถือของชาวบ้าน จึงจำเป็นที่จะต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน ในปีพ.ศ. 2525 Olfactory Research Fund ได้ตั้งนิยาม "Aromachology" ซึ่งเกี่ยวกับการศึกษาทาง วิทยาศาสตร์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิทยาและเครื่องหอม และได้ให้ทุนวิจัยเกี่ยวกับอิทธิพลของกลิ่น ต่อการรับกลิ่น และพฤติกรรมของมนุษย์
บางท่านอาจเข้าใจว่า "Aromatherapy" เป็นการบำบัดโดยนาสิกสัมผัสและอารมณ์ แต่ตามความเป็นจริงนอก จากกลิ่นแล้ว น้ำมันหอมระเหยแต่ละตัวยังมีสารมากมายหลายชนิดเป็นองค์ประกอบ ซึ่งจะทำปฏิกริยาโดย ตรงกับสารเคมีของร่างกายทำให้มีผลต่ออวัยวะหรือระบบต่างๆ ของร่างกายเนื่องจากน้ำมันหอมระเหยเป็น กรรมวิธีหนึ่งของการสกัดสมุนไพร ดังนั้นอาจจัดได้ว่าสุคนธบำบัดเป็นการรักษาด้วยสมุนไพร ถึงแม้กรรมวิธี การผลิตและวิธีการใช้อาจจะแตกต่างกันบ้าง
การออกฤทธิ์ของน้ำมันหอมระเหยมีสามชนิด ได้แก่ 1. โดยน้ำมันหอมระเหยเข้าสู่กระแสโลหิตไปทำปฏิกริยากับฮอร์โมน เอนไซม์ ฯลฯ การออกฤทธิ์ที่เกิดจาก การเปลี่ยนแปลงทางเคมี โดยน้ำมันหอมระเหยจะซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ไปทำปฏิกิริยากับฮอร์โมนและเอนไซม์ เป็นต้น 2. ทำงานของร่างกาย เช่น ไปกระตุ้นหรือ ระงับระบบประสาททำให้มีผลต่อการทำงานของร่างกาย เช่น กลิ่นแคลรีเซจ (clary sage) และกลิ่นเกรพฟรุต (grape fruit) จะทำให้สมองหลั่งสารชนิดหนึ่งเรียกว่า Enkephalins ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดความเจ็บปวด เป็นต้น 3. ฤทธิ์ทางด้านจิตใจโดยเมื่อสูดดมกลิ่นเข้าไปก็จะมีปฏิกริยากับกลิ่นนั้นๆ โดยน้ำมันหอมระเหยมีอิทธิพลต่อ จิตใจเรามานาน คือ เมื่อสูดดมกลิ่นหอมเข้าไปก็จะมีปฏิกิริยากับกลิ่นนั้นๆ แล้วแสดงออกในรูปของอารมณ์ หรือความรู้สึก ผลของกลิ่นที่มีต่อแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ เพศ บุคลิก บรรยากาศรอบๆ ตัวขณะดมกลิ่น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับกลิ่นที่ไม่เท่ากัน ของแต่ละคน บางคนอาจได้กลิ่นชนิดหนึ่งมาก ในขณะที่บางคนได้กลิ่นชนิดเดียวกันเพียงเล็กน้อยหรือไม่ได้ กลิ่นเลย
วิธีการใช้สุคนธบำบัด กฎทั่วไปของสุคนธบำบัด คือ ใช้น้ำมันหอมระเหยเฉพาะภายนอกเท่านั้นเนื่องจากน้ำมันหอมระเหยมี ความเข้มข้นสูง มีฤทธิ์ก่อการระคายเคืองและทำลายต่อเยื่อบุในจมูกและในกระเพาะอาหาร รูปแบบของ น้ำมันหอมระเหยที่จะใช้ภายนอกคือนำมาผสมกับน้ำมันหรือขี้ผึ้งน้ำมันหอมระเหยจะถูกดูดซึมผ่านผิว หนังหรือค่อยๆระเหยเพื่อสูดดมเข้าไป เมื่อสูดดมเข้าไปจะมีผลต่ออารมณ์หรือความรู้สึก และในขณะ เดียวกันก็มีผลต่อระบบการทำงานในร่างกาย ซึ่งแตกต่างจากสมุนไพรทั่ว ๆ ไปที่อาจจะเหมาะเมื่อใช้ ภายในแต่ไม่ให้ผลต่ออารมณ์และความรู้สึก
ประเภทของ Aromatherapy สามารถแบ่งตามการนำไปใช้ ดังนี้ 1. Cosmetic Aromatherapy สำหรับใช้เป็นเครื่องสำอาง โดยใช้น้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในรูป ของครีมบำรุงผิว โทนเนอร์ แชมพู ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า หรืออาจเป็นการใช้ น้ำมันหอม ระเหยในการอาบน้ำ โดยหยดน้ำมันหอมระเหยประมาณ 6-8 หยด ลงในอ่างแช่ตัวประมาณ 20 นาที ความร้อนจากน้ำอุ่นจะช่วยเพิ่มการซึมผ่านผิวหนังและได้สูดดมกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยในขณะเดียวกัน
2. Massage Aromatherapy สำหรับ การนวด โดยนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ในการนวด วิธีนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะเป็นการใช้ น้ำมันหอมระเหยประกอบกับการนวดสัมผัส ทำให้ น้ำมันหอมระเหยซึมผ่านผิวหนังได้ดี ปกติการนวดอย่างเดียวทำให้รู้สึกสบาย เมื่อได้ผสมผสานกับ คุณสมบัติพิเศษของน้ำมันหอมระเหยด้วยแล้ว ยิ่งทำให้การนวดนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. Olfactory Aromatherapy เป็นการ สูดดมกลิ่นของน้ำมันหอมระเหย โดยไม่มีการสัมผัส ผ่านผิวหนัง แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ การสูดดมน้ำมันหอมระเหยโดยตรง (inhalation) และการผสม น้ำมันหอมระเหยลงในน้ำร้อนแล้วสูดไอของน้ำมันหอมระเหยนั้น (vaporization) ซึ่งวิธีนี้ไม่เหมาะ สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางและผู้ที่เป็นหืดหอบ หรืออาจจะใช้เตาหอม (arona lamp) ลักษณะเป็นภาชนะ ดินเผาหรือเซรามิก ด้านบนเป็นแอ่ง เล็ก ๆ สำหรับใส่น้ำและมีช่องเล็ก ๆ สำหรับใส่เทียนเพื่อให้ความร้อน เวลาใช้ให้หยดน้ำมันหอมระเหยลงในน้ำ และความร้อนจะช่วยส่งกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยให้กระจาย ไปทั่วห้อง
ข้อควรระวังในการใช้น้ำมันหอมระเหย • ก่อนใช้น้ำมันหอมระเหยควรทดสอบว่าแพ้น้ำมันหอมระเหยชนิดนั้นหรือไม่ เพราะแต่ละบุคคลมีการ ตอบสนองต่อสารเคมีแตกต่างกัน • ต้องให้แน่ใจว่าน้ำมันหอมระเหยนั้นไม่มีพิษ ไม่ก่อให้เกิดการไวต่อแสงหรือระคายเคืองต่อผิวหนัง (น้ำมันโหระพา น้ำมันอบเชย น้ำมันกานพลู น้ำมันสะระแหน่) หรือทำให้เกิดการแพ้ง่าย (น้ำมันตะไคร้หอม น้ำมันกระเทียม น้ำมันขิง น้ำมันมะลิ น้ำมันมะนาว น้ำมันตะไคร้ น้ำมันขมิ้น) • ไม่ควรใช้น้ำมันหอมระเหยบางอย่าง เช่น hyssop, rosemary, sage และ thymeกับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง • ผู้ป่วย Homeopathic ไม่ควรใช้ น้ำมันพริกไทดำ น้ำมันการบูร น้ำมันยูคาลิปตัสและน้ำมันสะระแหน่ • ใช้น้ำมันหอมระเหยปริมาณเพียงครึ่งหนึ่งของที่ระบุไว้ และดูว่าน้ำมันหอมระเหยนั้นมีข้อควรระวังสำหรับ ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือไม่ • ทารกและเด็กต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ตามขนาดที่ปรับเข้ากับอายุ • สตรีที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ควร หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันหอมระเหยต่อไปนี้ คือ น้ำมันโหระพา น้ำมัน กานพลู น้ำมันเปปเปอร์มินต์ น้ำมันกุหลาบ น้ำมันโรสแมรี่ น้ำมันแคลรี่เซจ (clary sage oil) น้ำมันไทม์ (thyme oil) น้ำมันวินเทอร์กรีน (wintergreen oil) น้ำมันมาร์โจแรม (marjoram oil) และเมอร์ (myrrh) • ผู้ที่เป็นโรคลมชัก และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันโรสแมรี่ น้ำมันเซจ (sage oil) • น้ำมันหอมระเหยบางชนิดเหนี่ยวนำให้ ผิวหนังมีความไวต่อแสง (photosensitive) เช่น น้ำมันมะกรูด น้ำมันมะนาว ฯลฯ ดังนั้นจึงควร หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรงภายหลังจากการใช้น้ำมันหอมระเหย กลุ่มนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมง • ควรเก็บน้ำมันหอมระเหยในขวดที่มีสี เข้ม ในที่ปลอดภัยห่างจากมือเด็กและเปลวไฟ
ฤทธิ์และวิธีใช้น้ำมันหอมระเหย 1. ทางผิวหนัง • ระงับเชื้อจากบาดแผล แมลงกัดต่อย ฯลฯ เช่น น้ำมันไทม์ น้ำมันยูคาลิปตัส น้ำมันกานพลู น้ำมัน ลาเวนเดอร์ และน้ำมันมะนาว • แก้อาการอักเสบ สำหรับแผลพุพอง บาดแผลติดเชื้อ กระทบกระแทก ฟกช้ำ ฯลฯ เช่น น้ำมันคาโมไมล์ และน้ำมันลาเวนเดอร์ • ฆ่าเชื้อรา โรคน้ำกัดเท้า ขี้กลาก เช่น น้ำมันลาเวนเดอร์ และน้ำมันยางไม้หอม • ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อสมานแผล เช่น น้ำมันลาเวนเดอร์น้ำมันกุหลาบ และน้ำมันเจอเรเนียม • ระงับกลิ่น ผู้ที่มีเหงื่อออกมาก ทำความสะอาดบาดแผล เช่นน้ำมันลาเวนเดอร์ น้ำมันไทม์ และน้ำมันตะไคร้ • ไล่แมลงและฆ่าปาราสิท พวก เหาหมัด เห็บ ยุง มด ฯลฯ เช่น น้ำมันกระเทียม น้ำมันตะไคร้หอม น้ำมัน ยูคาลิปตัส น้ำมันกานพลู และน้ำมันไม้ซีดาร์
2. ระบบการไหลเวียน กล้ามเนื้อ และข้อต่อ น้ำมันหอมระเหยถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตได้ง่ายทางผิวหนังและเยื่อบุทำให้กระจายไปทั่วร่างกาย น้ำมันที่ ทาแล้วร้อนไม่มีผลเพียงแต่การไหลเวียนของโลหิตเท่านั้น แต่มีผลต่ออวัยวะภายในด้วยความร้อนทำให้เส้น โลหิตขยายจึงมีผลในการลดอาการบวมน้ำ • ลดความดันโลหิต ความเครียด ฯลฯ เช่น น้ำมันกระดังงา น้ำมันลาเวนเดอร์ และน้ำมันมะนาว • เพิ่มความดัน สำหรับคนที่มีโลหิตไหลเวียนไม่ดี โรคหิมะกัดเท้า เซื่องซึม ฯลฯ เช่น น้ำมันยูคาลิปตัส • น้ำมันสะระแหน่ และน้ำมันลาเวนเดอร์
3. ระบบหายใจ น้ำมันหอมระเหยเหมาะที่จะรักษา การติดเชื้อทางจมูก ลำคอ และปอด เพราะใช้สูดดมตัวยาก็จะผ่านไปถึง ปอดซึ่งก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตได้เร็วกว่าให้ยาโดยการรับประทาน • ขับเสมหะ สำหรับหวัด ไซนัส ไอ ฯลฯ เช่น น้ำมันยูคาลิปตัส น้ำมันสน น้ำมันไม้จันทน์ และน้ำมันยี่หร่า • คลายกล้ามเนื้อกระตุกในโรคหืด ไอแห้ง ไอกรน ฯลฯ เช่น น้ำมันเขียว น้ำมันแคโมมิลล์ และน้ำมันมะกรูด • ฆ่าเชื้อสำหรับ ไข้หวัดใหญ่ คอเจ็บ ต่อมทอนซิลอักเสบ ฯลฯ เช่น น้ำมันสน น้ำมันยูคาลิปตัส และน้ำมันพิมเสน • แก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อเนื่องจากปวดท้อง อาหารไม่ย่อย ฯลฯ เช่น น้ำมันยี่หร่า น้ำมันส้ม น้ำมันขิง และน้ำมันกระเทียม • ขับลมและแก้ปวดท้องเนื่องจากมีกรดมาก คลื่นไส้ เช่น น้ำมันกะเพรา และน้ำมันสะระแหน่ • ขับน้ำดี เพื่อเพิ่มน้ำดีและกระตุ้นการทำงานของถุงน้ำดี เช่น น้ำมันลาเวนเดอร์ และน้ำมันสะระแหน่ • ทำให้เจริญอาหาร เช่น น้ำมันยี่หร่า น้ำมันส้ม น้ำมันขิง และน้ำมันกระเทียม
4. ระบบย่อยอาหาร น้ำมันหอมระเหยที่ใช้สำหรับระบบนี้ค่อนข้างมีขอบเขตจำกัดเมื่อเปรียบเทียบกับยาที่ใช้รับประทาน • แก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อเนื่องจากปวดท้อง อาหารไม่ย่อย ฯลฯ เช่นน้ำมันยี่หร่า น้ำมันส้ม น้ำมันขิง และน้ำมันกระเทียม • ขับลมและแก้ปวดท้องเนื่องจากมีกรดมาก คลื่นไส้ เช่น น้ำมันกะเพรา - ขับน้ำดี เพื่อเพิ่มน้ำดีและกระตุ้น การทำงานของถุงน้ำดี เช่นน้ำมันลาเวนเดอร์ และน้ำมันสะระแหน่ • ทำให้เจริญอาหาร เช่น น้ำมันยี่หร่า น้ำมันส้ม น้ำมันขิงและน้ำมันกระเทียม
5. ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบต่อมไร้ท่อ น้ำมันหอมระเหยมีผลต่อระบบนี้โดยการดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตหรืออาจจะไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางฮอร์โมน • แก้กล้ามเนื้อเกร็ง สำหรับปวดท้องประจำเดือน ตอนใกล้คลอด ฯลฯ เช่น น้ำมันแคโมมิลล์ น้ำมันมะลิ และน้ำมันลาเวนเดอร์ • ขับระดู สำหรับผู้ที่มีประจำเดือนน้อยหรือไม่มี เช่น น้ำมันแคโมมิลล์ และน้ำมันสะระแหน่ • ระงับเชื้อและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น น้ำมันแคโมมิลล์ น้ำมันกำยาน น้ำมันกุหลาบ และน้ำมันมะกรูด • ขับน้ำนม เช่น น้ำมันยี่หร่า น้ำมันมะลิ และน้ำมันตะไคร้ • ปลุกกำหนัดสำหรับกามตายด้านหรือไม่ค่อยมีความรู้สึก เช่น น้ำมันพริกไทดำ น้ำมันกระวาน น้ำมันมะลิ น้ำมันกุหลาบ น้ำมันกระดังงา และน้ำมันไม้จันทน์ • ลดความกำหนัด เช่น น้ำมันการบูร • ฤทธิ์ต่อไต กระเพาะปัสสาวะ และระบบปัสสาวะ ยังไม่มีรายงาน
6. ระบบภูมิคุ้มกัน ส่วนใหญ่น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดขาว • ป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ทำให้ไม่เป็นหวัด เช่น น้ำมันเขียว น้ำมันกระเพรา น้ำมันลาเวนเดอร์ น้ำมันยูคาลิปตัส น้ำมันการบูร และน้ำมันกานพลู • ใช้ลดไข้ เช่น น้ำมันกระเพรา น้ำมันสะระแหน่ น้ำมันมะนาว และน้ำมันยูคาลิปตัส
7. ระบบประสาท ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าน้ำมันหลายชนิดมีผลต่อระบบประสาท เช่น น้ำมันไม้จันทน์ น้ำมันมะกรูด และน้ำมัน ลาเวนเดอร์ มีผลในการสงบระงับประสาทส่วนกลาง น้ำมันมะลิ น้ำมันสะระแหน่ น้ำมันกระเพรา น้ำมันกานพลู และน้ำมันกระดังงา มีฤทธิ์ในการกระตุ้นประสาท
8. จิตใจ น้ำมันหอมระเหยมีอิทธิพลทางด้านจิตใจมาช้านานแล้ว นับตั้งแต่การใช้ในศาสนพิธีและพิธีกรรมต่างๆ เป็นที่ ทราบกันอยู่แล้วว่ากลิ่นมีผลต่อสมองและอามณ์ผลของกลิ่นมีต่อบุคคลขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลาย ประการดังนี้ • วิธีที่ใช้ • ปริมาณที่ใช้ • สภาวะที่กำลังใช้อยู่ • สภาวะของบุคคลที่ใช้ (อายุ เพศ บุคคลิก) • อารมณ์ในขณะที่จะใช้ • ความรู้สึกในอดีตเกี่ยวกับกลิ่นที่จะใช้ • ความไม่รับรู้ต่อกลิ่นบางอย่าง
ดังนั้นเราต้องจัดกลิ่นให้เหมาะกับผู้ใช้น้ำมันหอมระเหย สามารถแสดงความเชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติกับ ความต้องการของบุคคล กุหลาบ เป็นตัวอย่างที่ดี เพราะดอกกุหลาบเองก็หมายถึง ความงาม ความรักและ ทางด้านจิตใจที่เกี่ยวข้องกับนิยายและศาสนา แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกนำไปใช้รักษาเกี่ยวกับผิวหนัง ควบคุม ประจำเดือน เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดบริสุทธิ์ และบำรุงหัวใจ ดังนั้นเมื่อเราได้กลิ่นกุหลาบก็จะ เชื่อมโยงเราไปสู่ความสัมพันธ์เหล่านี้ซึ่งจะมีผลต่อจิตใจ และตามมาด้วยผลต่อร่างกายซึ่งผลเหล่านี้ได้ถูก ครอบคลุมอยู่ในจิตใจของเขาอยู่แล้ว
การใช้น้ำมันหอมระเหยที่บ้าน เลือกให้เหมาะกับสภาพและอารมณ์ของคนไข้ ผสมกับน้ำมันอื่น เช่น น้ำมันแอลมอนด์หรือน้ำมันเมล็ดองุ่น ปริมาณน้ำมันหอมระเหยที่ใช้อยู่ระหว่าง 1-3 % ขึ้นอยู่กับชนิดของอาการแต่ต้องให้แน่ใจว่าน้ำมันได้ถูกดูดซึม ผ่านผิวหนังและเข้าสู่กระแสโลหิต โดยหลักทั่วๆ ไป โรคปวดในข้อ หรือ อาหารไม่ย่อย ต้องใช้ความเข้มข้น มากกว่าโรคที่เกี่ยวกับอารมณ์และประสาท การนวดด้วยตัวเองต้องนวดเป็นจุดไปโดยเฉพาะ เท้า มือ และส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ทำให้ไม่สบาย เช่น นวดท้องตามเข็มนาฬิกาด้วย • น้ำมันสะระแหน่ที่เจือจางแล้ว เพื่อช่วยระบบย่อยอาหาร ใช้นิ้วมือนวดเบา ๆ เป็นวงกลมก็เป็นการเพียงพอ ที่จะให้น้ำมันซึมซาบเข้าผิวหนัง • น้ำมันกุหลาบเหมาะกับผิวหนังที่แห้ง หรือเหี่ยวย่น • น้ำมันมะกรูดหรือน้ำมันมะนาวช่วยรักษาสิวและผิวหน้าที่มันมาก • น้ำมันหอมระเหยสองสามหยดผสมกับครีมหรือโลชั่นธรรมดา หรือเติมไปกับที่พอกหน้า เช่น ข้าวโอ้ต น้ำผึ้ง หรือดิน กับผลไม้ต่าง ๆ • ในบางกรณี เช่น ติดเชื้อเฮอร์ปีส์ หรือน้ำกัดเท้าควรใช้โลชั่นที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอลล์มากกว่าครีม โดยนำน้ำมันหอมระเหย 6 หยดผสมกับไอโซโปรปิลแอลกอฮอลล์หรือเหล้าวอดก้า 5 ซีซี ทำให้เจือจาง ด้วยน้ำต้มเดือดและทิ้งให้เย็น 1 ลิตร ได้ผลดีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย • เพื่อลดการปวดหรืออักเสบการประคบร้อนทำโดยเทน้ำร้อนจัดๆ ลงในอ่างเติมน้ำมันหอมระเหย 4-5 หยด เอาผ้าที่พับแล้วจุ่มลงไป บีบน้ำออกพอหมาด ๆ วางลงบนส่วนที่ต้องการจนรู้สึกผ้าเย็นก็ทำซ้ำวิธีนี้มี ประโยชน์ต่อการปวดหลัง ปวดตามข้อและกระดูก บวม ปวดหู และปวดฟัน • การประคบเย็น วิธีการเช่นเดียวกันแต่ใช้น้ำเย็นแทนน้ำร้อนเหมาะสำหรับโรคปวดศีรษะ เคล็ด เครียด และการบวมอักเสบ • วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการบำรุงผม ก็คือ ใช้น้ำมันหอมระเหยประมาณ 3% ผสมกับน้ำมันมะกอกกับโจโจบา หรือน้ำมันแอลมอนด์ นวดให้ซึมหนังศีรษะ และห่อด้วยผ้าขนหนูอุ่น ๆ ประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมง น้ำมันโรสแมรี่ น้ำมันคาโมไมล์ช่วยปรับสภาพและทำให้ผมงอก น้ำมันลาเวนเดอร์ช่วยไล่เหา น้ำมันมะกรูดช่วยคุมรังแค • การใช้ที่เผาน้ำมันหรือที่กระจายกลิ่นหอมเป็นวิธีที่ดีที่จะให้ห้องมีกลิ่นหอม แทนการใช้ธูปหอมซึ่งก่อให้ เกิดฝุ่นหรือควันแต่ต้องวางในที่ที่ปลอดภัยและห่างจากเด็กหรือสัตว์เลี้ยง อาจจะหยดน้ำมันหอมระเหย ลง 5-10 หยด ที่ขอบโป๊ะหลอดไฟฟ้าหรือหยดลงในชามน้ำที่วางบนเครื่องที่ให้ความร้อน น้ำมันตะไคร้ หรือตะไคร้หอมใช้ไล่แมลงและขจัดกลิ่นของบุหรี่ น้ำมันกำยาน หรือน้ำมันยูคาลิปตัส ใช้ในห้องนอนเพื่อ ช่วยแก้ปัญหาการหายใจขัดหรือแก้ไอในเด็ก • อาจใช้อบหน้าได้ โดยใช้น้ำมันมะนาวแทนซึ่งจะช่วยเปิดรูที่อุดตันและลบริ้วรอยบนใบหน้า • อย่างไรก็ตามเนื่องจากน้ำมันหอมระเหยสามารถถูกดูดซึมเข้าในร่างกายได้ง่าย จึงมีผลต่ออวัยวะภายใน โดยการใช้ภายนอกในกรณีที่เป็นโรคข้ออักเสบซึ่งเกิดจากการสะสมสารพิษที่ข้อต่อ การใช้น้ำมันบางชนิด เช่น น้ำมันไพล น้ำมันนิเปอร์ หรือน้ำมันเบิร์ชสามารถไปชำระล้างพิษ และในขณะเดียวกันก็ลดการปวด และอักเสบได้
ปัจจุบันนี้ผู้คนส่วนใหญ่หาวิธีที่จะรักษาสุขภาพของตนเองโดยปรับตัวเองไปสู่ธรรมชาติมากที่สุด Aromatherapy เป็นวิธีหนึ่งที่เขาจะดูแลสุขภาพของตนเองได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งหมอ นอกจากนี้ยังมี Aroma Technology โดยใช้เครื่องมือควบคุมการปล่อยเครื่องหอมเพื่อให้บรรยากาศดีหรือเพื่อฆ่าเชื้อตามบ้าน สำนักงานโรงแรม ฯลฯ
บำบัดรักษาทางธรรมชาติวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูง ดังนั้น จึงมีผู้นำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ประโยชน์ในการ รักษาสุขภาพของตนเองมากขึ้น โดยผ่านการศึกษาค้นคว้ามาแล้วหลายช่วงเวลา สั่งสมให้คุณค่าความรู้ ทางด้าน Aromatherapy มีสูงมากยิ่งขึ้น โดยได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อที่จะได้นำผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ มาสนับสนุนข้อมูลที่มีมาแต่เดิม และเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้บริโภคในการใช้ผลิตภัณฑ์ Aromatherapy ในการนำมาบำบัดรักษามากยิ่งขึ้น
หนังสืออ้างอิง 1. วนิดา จิตต์หมั่น และ ทวีศักดิ์ สุวคนธ์ กลยุทธ์คลายเครียด เอกสารการประชุมวิชาการเภสัชกรรม ชุมนุม ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 19-20 มีนาคม 2541. 2. ลลิตา วีระเสถียร. 2541. การบำบัดด้วยความหอม. ศรีนครินทรวิโรฒเภสัชสาร. 2541; 23(1): 52-57. 3. Lawless J. The Encyclopaedia of Essential Oil. Barnes & Noble Inc, 1995: 226. 4. Peltier M. DCI. 1998; 162(3): 22-24. 5. Buckle J. Aromatherapy. Nursing time. 1993; 89(2): 32-35. 6. Anon N-Z-Pharm 1993; 13: 9-10. 7. http://www.aromaweb.com
|