อาการบ้านหมุน
กลไกการทำงาีนภายในร่างกายคนเรานี้แสนจะซับซ้อนน่าพิศวงเหลือเกิน บางครั้งเพียงแค่ แรงดัน ของน้ำภายในช่องหูไม่เท่ากัน ก็ทำให้ร่างกายเสียศูนย์ได้แล้ว หรืออยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนบ้านทั้งหลังหมุนกลับด้านไปได้ บางคนกระเพาะอาหารปั่นป่วนแทบอยากอาเจียน แล้วก็เวียนหัวอยากล้มตึงลงนอนเสียดื้อๆ ก็มี
อาการที่ว่านี้ถ้าเรียกเป็นภาษาปากก็คือ น้ำในหูไม่เท่ากัน หรือหลายท่านอาจเรียกว่า œโรคบ้านหมุน ก็ว่ากันไป แต่ในทางการแพทย์แล้ว เรียกอาการนี้ว่า โรคแรงดันน้ำในช่องหูชั้นในผิดปกติ
ก่อนอื่นมารู้จักกับ หู ของเรากันก่อน
หูชั้นในของคนเราจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่มีลักษณะคล้ายก้นหอย ทำหน้าที่รับเสียง อีกส่วนหนึ่งเป็นอวัยวะรูปร่างคล้ายเกือกม้า ซึ่งมีอยู่ 3 ชิ้นด้วยกัน ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว หูชั้นในนอกจากจะแบ่งตามหน้าที่แล้ว ยังแบ่งตามโครงสร้างได้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นกระดูก กับส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายใน ส่วนที่เป็นกระดูกจะห่อหุ้มส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในอยู่ ในขณะที่ส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในจะมีของเหลวอยู่ และน้ำหรือของเหลวที่ว่านี้เองที่ทำให้ บ้านหมุน ขึ้นมา
สาเหตุ ที่มาของอาการที่ร่างกายเสียศูนย์จนกระทั่งบ้านหมุนติ้วนี้ยังไม่อาจระบุสาเหตุที่แน่ชัด พบแต่ความผิดปกติว่าเกิดขึ้นเนื่องจากภาวะแรงดันน้ำในช่องหูชั้นในเกิดผิดปกติขึ้น กระทั่งของเหลวที่อยู่ในหูส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในมีการคั่งขึ้นมา ทำให้การไหลเวียนของของเหลวนั้นเป็นไปอย่างติดขัดไม่สะดวก ส่งผลให้แรงดันที่เพิ่มขึ้นในหูชั้นในเข้าไปขัดขวางการทำงานของกระแสประสาทที่เกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัว ทำให้รู้สึกเหมือนหูอื้อ สูญเสียการได้ยิน และสูญเสียความสมดุลภายในร่างกายจนเกิดอาการเวียนศีรษะขึ้น ยิ่งเมื่อแรงดันมากขึ้นผู้ป่วยจะรู้สึกตึงๆ ในหูข้างที่ผิดปกติ
โรคแรงดันน้ำในช่องหูชั้นในผิดปกติ ส่วนใหญ่มักจะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ในกลุ่มที่ทราบสาเหตุจะเรียกว่า กลุ่มอาการมีเนีย ได้แก่ โรคซิฟิลิส หูน้ำหนวก เป็นต้น เพราะฉะนั้นโรคนี้จึงรักษาไม่หายขาด เพียงแต่สามารถรักษาอาการเวียนศีรษะให้หายเป็นปกติได้เท่านั้น อาการผิดปกติอาจเกิดขึ้นกับหูเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ระยะแรกๆ มักเป็นข้างเดียว แต่เมื่อเป็นนานๆ เข้า โอกาสที่หูข้างที่สองจะเป็นร่วมกันก็มีมากขึ้น
อาการ ลักษณะที่สังเกตได้คือ เวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน ซึ่งมักเป็นร่วมกับอาการหูอื้อ หรือมีเสียงดังอื้อๆๆ อยู่ในหูตลอดเวลา ซึ่งอาจจะได้ยินข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้างก็ได้แล้วแต่ความผิดปกติ มีทั้งอาการที่เป็นแบบชั่วคราวและอาการที่เป็นถาวร โดยหากเป็นอาการระยะแรกจะทำให้สูญเสียการได้ยินเพียงชั่วคราวเฉพาะช่วงที่เกิดอาการวิงเวียนเท่านั้น แต่หากอาการวิงเวียนเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากขึ้น อาการหูอื้อมักจะเกิดขึ้นอย่างถาวร
นอกจากนี้ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด และมีอาการอย่างนั้นอยู่นานกว่า 20 นาที ถึง 2-3 ชั่วโมง อาการดังกล่าวมักเป็นรุนแรง แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้หมดสติหรือเป็นอัมพาต เมื่อหายเวียนศีรษะ ผู้ที่เป็นจะมีความรู้สึกเหมือนเป็นปกติ แต่ไม่นานก็จะกลับมาปวดหัวหรือมีอาการ ดังกล่าวอีก เรียกว่าเป็นๆ หายๆ อยู่อย่างนี้
การป้องกันและรักษา โรคนี้มีโอกาสเป็นได้ทุกเพศ และทุกวัย เพราะ พบมากในคนวัยทำงานที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่มีปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโรคได้ โดยพบว่าอาหารที่มีปริมาณเกลือโซเดียมสูง หรืออาหารที่มีรสเค็ม สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการได้ เช่นเดียวกับ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ความเครียด และสภาวะแวดล้อมที่มีเสียงดังอึกทึก ดังนั้น การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังกล่าว รวมทั้งหาเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ จึงเป็นวิธีการเบื้องต้นที่เราพอจะทำได้เพื่อป้องกันการมาเยือนของโรคนี้
ส่วนการรักษานั้น ส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการที่ตรวจพบ เช่น ใช้ยาขับปัสสาวะ เพื่อลดสภาวะอาการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นใน ใช้ยาลดอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้อาเจียน (ควรใช้ในขณะที่มีอาการเท่านั้น) ยาขยายหลอดเลือด ช่วยลดอาการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นใน เป็นต้น ซึ่งยาต่างๆ เหล่านี้ควรเป็นไปโดยคำสั่งแพทย์เท่านั้น ไม่ควรซื้อยามากินเองเป็นอันขาด
ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info |